วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

สนช. ก่อนรับร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคง

http://www.innnews.co.th/Politic.php?nid=71571
หัวหน้าสำนักงานคมช.แจงกฏหมายความมั่นคง

โดยทีมข่าว INN News 07 พฤศจิกายน 2550 18:40:49 น.
หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. ยืนยัน ร่างกฏหมายความมั่นคงมีการนำเสนอมานานแล้ว ไม่ใช่กฏหมายเฉพาะกิจเพื่อการเลือกตั้ง ครั้งนี้


พล.อ.สมเจนต์ บุญถนอม สนช.และหัวหน้าสำนัก งานเลขาธิการ คมช.ยืนยันว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายใน ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น และกฏหมายฉบับนี้มีการนำเสนอมานานแล้ว และถือเป็นความจำเป็นที่จะนำมาใช้ เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะการมีกฎหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติ งาน ทั้งนี้หากที่ประชุม สนช.รับหลักการ ก็คาดว่าจะใช้เวลาในการแปรญัตติราว 7 วัน ตามข้อบังคับ โดยจะมีการทบทวนในเรื่องของอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม มีมาตรการในการควบคุมไม่ให้เจ้าหน้ากระกระทำการที่ไม่ถูกต้อง

ขณะที่บรรยากาศบริเวณด้านหน้าอาคารรัฐสภานั้น ได้มีกลุ่มองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนมาชุมนุมกัน เพื่อคัดค้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เพราะเห็นว่าเป็นการละเมิด สิทธิมนุษยชน มีการให้อำนาจกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในหรือ กอ.รมน.มากจนเกินไป


http://www.innnews.co.th/Politic.php?nid=71504
ตัวแทนกลุ่มคัดค้านพ.ร.บ.ความมั่นคงฯยื่นหนังสือปธ.สนช.


โดยทีมข่าว INN News 07 พฤศจิกายน 2550 12:25:45 น.
ตัวแทนกลุ่มคัดค้านร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 13 คน เข้ายื่นหนังสือต่อประธาน สนช. ให้ยับยั้ง
การพิจารณา ชี้ ควรรอสภาฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง


ขณะนี้ ตัวแทนกลุ่มคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. 13 คน นำโดยนายแพทย์เหวง โตจิราการ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ได้เข้าไปยังอาคารรัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านและจดหมายเปิดผนึกต่อ


นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน สนช. เพื่อขอให้ยับยั้งการพิจารณาร้าง พ.ร.บ.ดังกล่าว และขอให้เรื่องนี้เป็นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกตั้ง หลังวันที่ 23 ธ.ค.นี้

ขณะที่ กลุ่มสมาชิก ซึ่งส่วนใหญ่สวมใส่เสื้อแดง ราว 60 คน ได้เคลื่อนตัวมาป่าวร้อง บริเวณหน้าประตูรัฐสภาด้วย ด้านกลุ่มคัดค้าน พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน ก็ยังคงปราศรัยแข่งกับเสียงโห่ร้อง และเสียงเพลงของกลุ่มคัดค้าน พ.ร.บ.กอ.รมน. อย่างต่อเนื่องเช่นกัน ขณะที่การจราจรเริ่มติดขัดเล็กน้อยแล้ว



http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=10128&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai
‘กฎหมายความมั่นคง’ ร้ายแรงยิ่งกว่า ‘ระบอบทักษิณ’


เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 50 เครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรภาคประชาชน ร่วมกับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาโต๊ะกลม เรื่อง “รวมพลังคัดค้าน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ” ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย


หลังจากที่วิปรัฐบาลสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ตีกลับ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ไปให้รัฐบาลพิจารณาใหม่ แต่คณะรัฐมนตรีกลับมีมติยืนยันตามร่างเดิม แล้วส่งซ้ำกลับไปให้สนช.พิจารณา ในวันพุธที่ 7 พ.ย.นี้


ทั้งนี้ เนื้อหาหลักของ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ดังกล่าว

1. ให้อำนาจครอบจักรวาล (มาตรา 15) ออกข้อกำหนดห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดการปฏิบัติการได้ ห้ามเข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่ที่กำหนดได้ ห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ (มาตรา 17) ซึ่งเท่ากับว่า สามารถออกกฏหมายนิติบัญญัติได้ในตัว (กอ.รมน.สามารถทำหน้าที่แทนฝ่ายนิติบัญญัติ)

2. จะแก้ไขให้ผอ.รมน.เป็นนายกรัฐมนตรี แต่มาตรา ๑๐ ยังให้แม่ทัพภาคเป็น “ผอ.รมน.ภาค” เหมือนเดิม ซึ่งมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการและลูกจ้างของกองทัพภาค รวมทั้งข้าราชการ พนักงาน และยังสามารถเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างที่ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติงานใน กอ.รมน.ภาค และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของ กอ.รมน.ภาคได้ (รัฐซ้อนรัฐ-โดยทหาร)

3. บรรดาข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชบัญญัตินี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (มาตรา 22) (กอ.รมน.มีอำนาจเหนือฝ่ายบริหาร)

4. ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย (มาตรา 23) (กอ.รมน.ทำหน้าที่แทนฝ่ายตุลาการ)


‘ยักษ์มีกระบอง’ ผีร้ายยิ่งกว่าทักษิณ

นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีตเลขานุการ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาัลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้มีปัญหาสามประเด็น คือ เป็นกฎหมายครอบจักรวาล เป็นกฎหมายที่ทำลายหลักประกันเรื่องสิทธิเสรีภาพและระบบตรวจสอบ และเป็นกฎหมายที่ทำลายระบบราชการโดยปกติ

เช่น การไม่นิยามคำว่าภัยที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้ารัฐบาลตีความกว้างเกินไป ก็จะไปรุกรานสิทธิเสรีภาพ เช่นเดียวกับพ.ร.บ.ปี 2545 ที่ให้นายกรัฐมนตรี สั่งให้รัฐมนตรีให้อำนาจโดยระบบพิเศษแทนระบบปกติ เหมือนกับการสร้างยักษ์ที่มีกระบองตัวใหม่ และยังมีการเพิ่มรายได้ หรือเพิ่มรายได้พิเศษ ทำให้ระบบแบบนี้จะย้อนยุคไป 30-50 ปี เกิดระบบตรวจสอบของไทยที่ไม่เข็มแข็ง

อดีตเลขานุการร่างรัฐธรรมนูญกล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นเลขาฯ ยกร่างรธน.มา แม้จะไม่ภูมิใจเรื่องภาคการเมืองในรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีความภูมิใจที่รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิเสรีภาพเอาไว้มากที่สุด แต่หลายมาตราในกฎหมายความมั่นคงนี้ กลับจำกัดสิทธิเสรีภาพขัดกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการย้อนยุคไป

นอกจากนี้ ในมาตรา 22 และ 23 ที่กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานตามพ.ร.บ.นี้ ไม่อยู่ในบังคับของศาลปกครองนั้น ต้องขัดกับหลักรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน

เขากล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ทำลายรากฐานสิทธิเสรีภาพประชาชนที่วางไว้ในระบบนิติธรรมที่ตราไว้ในมาตรา 3 (2) ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ควรให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งเข้ามามีอำนาจ เหมือนรัฐบาลทักษิณ ที่ควบรวมอำนาจเอาไว้เป็นศูนย์กลาง ตรงนี้ที่ถือว่าเป็นการทำลายระบบศาลในการฟ้องร้อง

นายสมคิดยังกล่าวว่า ถ้าถามตน กฎหมายความมั่นคงร้ายแรงยิ่งกว่าระบอบทักษิณเสียด้วยซ้ำ เพราะระบอบทักษิณไม่ได้ห้ามคนอื่นตรวจสอบ แม้ในหลวงยังเคยตรัสว่า องค์กรอื่นได้ถูกทำลายหมดแล้ว ต้องให้องค์กรศาลตรวจสอบ ซึ่งคนร่างกฎหมายนี้คงรู้ดี จึงได้ทำลายระบบศาลไป

เขายังกล่าวว่า อาจจะพยายามหารือกับคณะนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่ง ว่าอาจจะมีการแถลงการณ์ร่วมกันเพื่อคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ โดยเบื้องต้น ได้ประสานงานกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาัลัยแล้ว


สำคัญคือ ปฏิรูปสถาบันด้านความมั่นคง

ด้านฉันทนา บรรพศิริโชติ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า ลักษณะของกฎหมายฉบับนี้ เอื้อให้มีการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ คือ การใช้อำนาจทางทหาร ซึ่งเป็นผู้ที่กุมกำลัง ทำให้สถาบันต่างๆต้องอยู่ภายใต้ปฏิบัติการของการใช้กำลังและอำนาจ

โดยฉันทนาตั้งข้อสังเกตว่า สถานการณ์การเมืองปัจจุบันเอื้อให้มีการใช้พ.ร.บ.เหล่านี้แค่ไหน ในหลายประเทศที่มีกฎหมายลักษณะนี้ อาจจะมีการอ้างเหตุเรื่องความมั่นคง แต่กับประเทศไทยคงไม่สามารถใช้ข้ออ้างเช่นว่าได้ ไม่เพียงเท่านั้น แนวโน้มของอำนาจที่จะเกิดขึ้น ก็ไปในทางมีเพื่อให้อีกฝ่ายสยบ เป็นกฎหมายที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการประหัตประหารฝ่ายตรงข้าม


นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์กล่าวต่อไป ถึงเรื่อง ‘สถาบันที่จะมาดูแลความมั่นคง’ ซึ่งตามพ.ร.บ.มั่นคง

ฯ กลับกำลังพูดถึงสถาบันที่ ‘ไม่ได้’ รับความไว้วางใจอย่างสูง ซึ่งไมไ่ด้เป็นเพียงความหวาดระแวงธรรมดา แต่สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่นั้น ไม่ว่าจะเรื่องการแก้ปัญหาสามจังหวัดภาคใ่้ต้ ปัญหาคนหาย และปัญหาอีกจำนวนมากที่ไร้คำตอบ ล้วนสะท้อนการทำงานของสถาบันควา่มมั่นคงหลักๆ หลายหน่วยงาน ที่ยังไม่อยู่ในร่องในรอย อันยิ่งจะนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจ

“ไม่เข้าใจว่าในขณะที่สถาบันทหารจต้องการได้รับความไว้วางใจ แล้ัวทำไมยังออกพ.ร.บ.นี้ออกมา มันไม่เป็นประโยชน์ต่อสภาพปัจจุบันนี้เลย” ฉันทนากล่าว

ฉันทนากล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบัน เราจำเป็นต้องพูดเรื่องการปฏิรูปสถาบันด้านความมั่นคงของประเทศ (Security section reform) ต้องไม่เพียงแค่ต้องปรับและปฏิรูปเท่านั้น แต่ยังต้องพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันความมั่นคงกับประชาชนด้วย เพราะเราคงไม่สามารถพูดเรื่องความหมายความมั่นคงที่อยู่ในมือคนเพียงไม่กี่คน


กฎหมามป้องกันภัยที่ไม่รุนแรงมาก เพื่อหาที่ยืนให้กอ.รมน.

ไพโรจน์ พลเพชร เลขาธิการเครือข่ายสิทธิมนุษยชน (สสส.) กล่าวว่า เจตนาของการผลักดันกฎหมายฉบับนี้ คือต้องการจัดตั้งกอ.รมน. ให้มีฐานะทางกฎหมาย เนื่องจากที่ผ่านมา กอ.รมน. เป็นองค์กรที่ถูกจัดตั้งด้วยคำสั่งนายกฯ ตามกฎหมายการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเริ่มขึ้นปี 2512 เพื่อปราบปรามคอมมิวนิสต์ แล้วก็อยู่ยาวจนคอมมิวนิสต์หมดอิทธิพล แม้จนยกเลิกพ.ร.บ.คอมมิวนิสต์ไปเมื่อปี 2542 กอ.รมน.กลับยังคงอยู่ ซึ่งปรากฏว่า ในสมัยนั้นที่นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีคำสั่งปรับบทบาทกอ.รมน. จากที่เคยทำหน้าที่ปราบปรามภัยคุกคาม ให้มาทำหน้าที่เกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น ภัยชายแดน ภัยที่เกี่ยวกับต่างประเทศ ก่อนจะมีการปรับอีกครั้งในสมัยรัฐบาลทักษิณ และปรับครั้งล่าสุดสมัยนายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ปรับให้อำนาจของกอ.รมน.ครอบคลุมกว้างขวางขึ้น

เขากล่าวว่า เดิม หากมีภัยคุกคาม ภัยรุนแรง ก็มีเครื่องมือ ไม่ว่าจะกฎอัยการศึก หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรีและทหารมีบทบาทเต็มที่อยู่แล้ว แต่พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ นี้ ออกมาเพื่อหาที่ยืนให้กับกอ.รมน.

ไพโรจน์กล่าวว่า ดังนั้น เมื่อมีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงภายใน แต่ไม่รุนแรงถึงขนาดต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศกฎอัยการศึก ครม. จะมอบอำนาจให้เรื่องนั้นๆ เป็นภารกิจของกอ.รมน. ให้มีหน้าที่ ป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง ที่จะเกิดเหตุที่กระทบความมั่นคง เพียงแต่เป็นเหตุกระทบที่ไม่รุนแรงขนาดต้องประกาศกฎอัยการศึกหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน

นายมูฮัมหมัด อาลาดี เด็งนิ รองเลขาฯ สนนท. กล่าวว่า จากการหารือใน สนนท. เชื่อว่ากฎหมายจะเป็นการทำลายการเมืองภาคประชาชน ผูกมือและมัดประชาชนโดยสะดวก โดยเฉพาะในสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในกรณีของมาตรา 19 ที่ระบุถึงการจับกุมและสามารถนำตัวไปฝึกอบรม จะเกิดผลกระทบโดยเจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายกักขังได้ถึง 6 เดือน อย่างไรก็ตามนักศึกษาไม่เห็นด้วยที่จะให้ พ.ร.บ.ฉบันนี้ออกมา โดยเห็นว่า สนช. ไม่มีสิทธิที่จะนำกฎหมายนี้ออกมา เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

ด้านนายสาวิตต์ แก้วหวาน เลขาธิการเครือข่ายแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กล่าวว่า การถูกใส่ร้ายป้ายสี ประชาชนที่เป็นเป้า การต่อสู้จะเป็นปัญหาใหญ่ ประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ์จะเอาเครื่องมือตรงไหนมาเคลื่อนไหว หากรัฐเอาสัมปทานไปขาย ประชาชนที่สู้จะขัดขวางอย่างไร ตรงนี้ต่อไปจะเอาอย่างไร จะมีทางเลือกอื่นเพื่อให้ประชาชนพิสูจน์สิทธิ์ได้อย่างไร เพราะสิทธิของคนไทยโดยการเคลื่อนไหวจริง ๆ เราจะต้องดูด้วยว่า จะไปพูดถึงประชาชนทั้งหมดไม่ได้ เพราะประชาชนสว่นใหญ่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพง ที่หาเช้ากินค่ำ การที่จะหามาตรการจะต่อสู้จะทำกันอย่างไรเพราะประชาชนไม่มีช่องทางการต่อสู้ ดังนั้นสถานการณ์นี้เราจะต้องมีความสามัคคี ที่จะตื่นตัวในการใช้สิทธิเสรีภาพในการถูกละเมิดอย่างไร

ทั้งนี้ ในวันพุธที่ 7 พ.ย.นี้ เครือข่ายภาคประชาชนและเครือข่ายนักวิชาการ จะร่วมแสดงพลังคัดค้านพ.ร.บ.ความมั่นคง โดยไปยื่นหนังสือถึงประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ


สังคมที่ทหารเป็นใหญ่

ด้านแบรด อาดัมส์ ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียขององค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ ออกแถลงการณ์เรื่อง 'กฏหมายความมั่นคงภายในคุกคามประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน' โดยกล่าวว่า “การที่รัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งของทหารเสนอกฏหมายความมั่นคงภายในเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการใช้อำนาจตามอำเภอใจ”

ทั้งนี้ องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์แสดงข้อกังวลว่า การที่กฏหมายความมั่นคงภายในจะแต่งตั้งให้ผู้บัญชาการทหารบกเป็นรองผู้อำนวยการ กอ.รมน. ขณะที่ให้แม่ทัพภาคมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการ กอ.รมน.ภาคต่างๆ นั้น จะทำให้ทหารเข้าแทรกแซงการบริหารราชการโดยพลเรือนได้ในทุกระดับ

แบรด อาดัมส์ กล่าวว่า “กฏหมายความมั่นคงภายในดูเหมือนจะมุ่งขยายอำนาจของทหารต่อไปจนถึงภายหลังจากที่มีการเลือกตั้งไปแล้ว” “แนวโน้มที่รัฐบาลชุดถัดไปจะอยู่ในสภาพอ่อนแอ และต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากทหารนั้น เป็นเงื่อนสำคัญที่ทำให้ทหารฉวยโอกาสพยายามสถาปนาอำนาจเป็นศูนย์กลางในการบริหารราชการ และการตัดสินใจของรัฐบาลผ่านการบังคับใช้กฏหมายความมั่นคงภายใน”

แบรด อาดัมส์ กล่าวว่า “อำนาจตามที่ปรากฏอยู่ในเนื้อหาของร่างกฏหมายความมั่นคงภายในฉบับนี้ แสดงถึงความพยายามของรัฐบาลที่จะสถาปนาอำนาจของ กอ.รมน. ซึ่งอยู่เหนือการตรวจสอบควบคุมตามกระบวนการประชาธิปไตย การกระทำเช่นนี้ทำให้ดูเหมือนประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ระบอบเผด็จการ มากกว่าที่จะเป็นการฟื้นฟูประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ ควรที่จะพิจารณาอย่างรอบคอบว่า เขาต้องการจะทิ้งสิ่งนี้ไว้เป็นมรดกบาปให้กับคนรุ่นหลังหรือไม่” “ถ้าหากนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ เป็นนักปฏิรูปจริงอย่างที่กล่าวอ้างไว้ เขาก็ควรที่จะระงับร่างกฏหมายความมั่นคงภายในฉบับนี้ในทันที”

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 6/11/2550


http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=10009&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai

ประวิตร โรจนพฤกษ์ : ‘พ.ร.บ.ความมั่นคง’ กฎหมายเถื่อน จากรัฐเถื่อน ถึงสภาเถื่อน



ประวิตร โรจนพฤกษ์



ภาพพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ พูดปกป้องความพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายใน รอบที่สาม ทางข่าวทีวีช่อง 7 กลางดึกคืนวันจันทร์ (22) ที่ผ่านมา ช่างดูซื่อๆ เหมือนไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่แท้จริงแล้ว มันมิมีอะไรซื่อเกี่ยวกับการกระทำครั้งนี้เลย

ที่พูดเช่นนี้ เพราะนี่คือรัฐบาลเถื่อน (ที่มาจากรัฐประหาร) ซึ่งกำลังผลักดันกฎหมายเถื่อน ที่จะทำให้อำนาจเผด็จการเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย และคงจะได้รับความเห็นชอบจากสภาเถื่อน (ซึ่งแต่งตั้งโดยทหาร) ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

Welcome to Myanmar ยินดีต้อนรับสู่สิงคโปร์ หรือระบอบการปกครองทางการเมืองแบบจีน แต่สไตล์ไทยๆ - ยินดีต้อนรับสู่รัฐเผด็จการทหารที่กฎอัยการศึก หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่จำเป็นต้องประกาศ เพราะมันจะคงอยู่ทุกวินาที ทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี ภายใต้ พ.ร.บ.ความมั่นคงนี้ เสมือนหนึ่งประเทศอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกอย่างถาวรตลอดไป

และใครจะเป็นเหยื่อ พ.ร.บ.ใหม่นี้เป็นคนแรก ในเมื่อผู้มีอำนาจในรัฐจะอ้างกฎหมายตัดสินด้วยตนเองว่า ใครจะเป็น ‘คนชั่ว’ ในความคิดของพวกเขา (ผู้นำรัฐประหาร นายสนธิ บุญยรัตกลิน ได้เคยบอกเองว่า ‘คนดี’ ไม่ต้องกลัวกฎหมายอย่างนี้ และกฎหมายนี้เอาไว้ฟัน ‘คนชั่ว’)

ต่อไปนี้ คุณอาจจะกลายเป็น ‘คนชั่ว’ หากคุณต่อต้านรัฐหรือวิจารณ์รัฐ ไม่ว่าเหตุผลในการต่อต้านของคุณจะดี มีน้ำหนัก หรือชอบธรรม เพียงไร และคุณจะกลายเป็น ‘คนชั่ว’ หากคุณต่อต้าน พ.ร.บ. นี้

ถึงตอนนั้น คนชั่วจะกลายเป็น ‘คนดี’ และผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรมจะถูกตราหน้าเป็น ‘คนชั่ว’ เพราะกฎหมายชั่วๆ ได้ให้อำนาจผู้คุมรัฐในการกระทำชั่ว โดยการตราหน้าใครก็ได้ ว่าเป็น ‘คนชั่ว’ โดยมิต้องผ่านการพิจารณาของอัยการหรือศาล – จริงๆ แล้ว สามารถพิจารณาฟันธงโดยไม่ต้องผ่านใครด้วยซ้ำไป ยกเว้นตัว ผอ.และรอง ผอ.รมน. (ซึ่งก็คือ นายกฯ และ ผบ.ทบ. นั่นเอง) ปัญหาสำคัญอันหนึ่งของร่าง พ.ร.บ. นี้ ได้แก่การให้อำนาจคนเพียงสองคนตัดสินว่าใครดี ใครชั่วนั่นแหละ

ร่างใหม่ฉบับ ‘ปรับปรุง’ อ้างว่า ประชาชนมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย หากถูกกระทำโดยมิชอบธรรมโดยมิต้องไปฟ้องศาล ปัญหาก็คือ กระบวนการเรียกร้องค่าเสียหายมีความโปร่งใสเป็นธรรมเพียงไร และถึงแม้กระบวนการนี้เป็นกลางและเป็นธรรมจริง แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะชดเชยความเสียหายที่เกิดจาก พ.ร.บ. นี้ ซึ่งจะทำให้ประชาชน พลเมืองอยู่ในภาวะแห่งความกลัวตลอดเวลา กลัวว่าไม่รู้เมื่อไหร่บ้านอาจถูกค้น ตนอาจถูกจับ ชุมนุมอาจถูกห้าม สื่ออาจถูกห้ามรายงาน การใช้มือถือและอินเทอร์เน็ตอาจถูกทำให้ผิดกฎหมาย แถมยังฟ้องร้องศาลปกครองก็ไม่ได้

ชีวิตพลเมืองจะเปลี่ยนไป เพราะผู้ดำรงตำแหน่งสองตำแหน่งนี้ ห้ามใครชุมนุมเมื่อไหร่ก็ได้ นึกจะจับกักกันผู้ใดก็อ้างเรื่องความมั่นคงของชาติได้ทันที กฎหมายมีเพื่อความมั่นคงของใคร ของชาติ หรือของพวกเผด็จการที่ต้องการคงอำนาจอย่างไม่สามารถตรวจสอบได้ไว้อย่าง “ถูกต้องตามกฎหมาย”

คนพวกนี้คงกลัวว่าอำนาจเบ็ดเสร็จเผด็จการของพวกตนในปัจจุบันไม่มั่นคงพอ จึงพยายามออกกฎหมายนี้มาเพื่อความมั่นคงยิ่งขึ้นของพวกตน

ถ้าเป็นเช่นนั้น กฎหมายนี้ย่อมเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเป็นภัยต่อความมั่นคงของพลเมืองและวัฒนธรรม รวมถึงระบอบประชาธิปไตยที่ตรวจสอบได้

แล้วประชาชนจะยอมปล่อยให้คนในรัฐบาลเถื่อนพวกนี้ สถาปนาอำนาจเผด็จการ อำนาจสามานย์ ให้กลายเป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมายได้จริงๆ หรือ? ในเมื่อการยอมรับ พ.ร.บ.นี้ เท่ากับเป็นการเซ็นต์เช็คเปล่าให้ผู้ชื่นชอบระบอบเผด็จการเลือกใช้อำนาจ เมื่อไหร่ก็ได้ตามอำเภอใจ

..........................................

ปล. บางคนบอกว่ารัฐนี้ไม่ควรพิจารณาผ่านร่าง พ.ร.บ. นี้เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แถมการเลือกตั้งก็จะมาถึงในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า แต่ในมุมมองของผู้เขียน ไม่ว่ารัฐบาลนี้ (ที่แต่งตั้งโดยทหาร) หรือรัฐบาลหน้า ที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ไม่มีสิทธิหรือความชอบธรรมในการผ่านกฎหมายใดๆ ที่จะทำลายการตรวจสอบ คานอำนาจในระบอบประชาธิปไตย แต่ที่ละอายมากคือ เผด็จการทหารชุดปัจจุบันพยายามเล่นกล ทำให้ดูเหมือนว่าร่าง พ.ร.บ. นี้ถ้าผ่านในสภาโจ๊ก ก็จะถือว่ามีความชอบธรรมถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่มีอะไรชอบธรรมหรือถูกต้องตามกฎหมายเลย ไม่ว่าจะเป็นตัวเผด็จการทหารอย่างนายสนธิ หรือคนที่คิดว่าตัวเองเป็นนายกฯ ชื่อสุรยุทธ์และบรรดาสุนัขรับใช้ในสภาโจ๊ก

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 23/10/2550



http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=9999&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai

เปิดร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคง (ซอฟท์ เวอร์ชั่น) ฉบับด่วนที่สุด !

รายละเอียดร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติไปเมื่อ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังผ่านการแก้ไขจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.)แล้ว และอยู่ระหว่างการผลักดันสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาระบุด้วยว่าต้องการให้เสร็จเรียบร้อยภายในรัฐบาลนี้ เพื่อแก้ปัญหา ‘ความมั่นคงของชาติ’ แต่ล่าสุดคณะกรรมการประสานงานรัฐบาล-สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป) ได้มีมติให้ ครม.นำร่างฉบับนี้ไปแก้ไขอีกรอบ

ถึงกระนั้น ก็ยังน่าพิจารณาตัวร่างดังกล่าวที่เพิ่งผ่าน ครม.ไป หลังจากทางกฤษฎีกาได้ปรับแก้แล้วรอบหนึ่งจากร่างแรกที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วง

เหตุผล :

โดยที่ปัจจุบันมีปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีหลากหลาย มีความรุนแรง รวดเร็ว สามารถขยายตัวจนส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และมีความสลับซับซ้อน จนอาจกระทบต่อเอกราชและบูรณภาพแห่งอนาคต ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศ และเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน

ดังนั้น เพื่อให้สามารถป้องกัน และระงับภัยที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที จึงสมควรกำหนดให้มีหน่วยปฏิบัติงานหลักเพื่อรับผิดชอบดำเนินการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ตลอดจนบูรณาการและประสานการปฏิบัติร่วมกับทุกส่วนราชการ ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและรักษาความมั่นคง รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่นของตน เพื่อป้องกันภยันตรายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในยามปกติ (ตัวเน้นโดยประชาไท) และในยามที่เกิดสถานการณ์อันเป็นภัยต่อความมั่นคงในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งและกำหนดให้มีมาตรการและกลไกควบคุมการใช้อำนาจเป็นการเฉพาะตามระดับความรุนแรงของสถานการณ์ เพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นเอกภาพจึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

เนื้อหาสำคัญ (โดยรวบรัด) :

1. ให้ตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ขึ้นในสำนักนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับ ‘การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร’ (ตัวเน้นโดยประชาไท) มีฐานะเป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี (มาตรา 5)

2.ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลเป็น ผู้อำนวยการ กอ.รมน. โดยมีผู้บัญชาการทหารบกเป็นรองผู้อำนวยการ และผู้อำนวยการมอบอำนาจให้รองผู้อำนวยการเป็นผู้ปฏิบัติหรือใช้อำนาจแทนได้ (มาตรา 5)

3. คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมอบหมายให้ กอ.รมน.มีอำนาจกำกับหน่วยงานรัฐตามที่ ครม.กำหนดด้วยก็ได้ (มาตรา 6)

4.ในการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ถ้ามีความจำเป็นที่ กอ.รมน. ต้องใช้อำนาจตามกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐใด ครม. สามารถแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งใดๆ ใน กอ.รมน. ให้เป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนั้นได้ หรือมีมติให้หน่วยงานนั้นมอบอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว ให้ กอ.รมน. ดำเนินการแทนได้ ทั้งนี้ จะกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการใช้อำนาจนั้นไว้ด้วยก็ได้ (มาตรา 6)

5. กรณีที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มมีอยู่ต่อไปเป็นเวลานาน อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐหลายแห่ง ครม.จะมีมติให้ กอ.รมน. เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปราม แก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์นั้นภายในพื้นที่ที่กำหนดได้ โดยให้ประกาศให้ทราบโดยทั่วไป (มาตรา 14)

6. ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรในเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ให้ผู้อำนวยการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมีอำนาจจัดตั้งศูนย์อำนวยการเพื่อปฏิบัติภารกิจอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างเป็นการเฉพาะก็ได้ (มาตรา 16)

7. ผู้อำนวนการ กอ.รมน.
(ไล่ พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี ออกจากกอ.รมน.)
มีอำนาจสั่งเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องได้, ห้ามการเข้าออกพื้นที่, ห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด, สั่งหยุดการชุมนุมหรือมั่วสุมในที่สาธารณะเมื่อปรากฏว่าก่อความไม่สะดวกในการใช้ที่สาธารณะและอาจก่อให้เกิดความไม่สงบ, ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม ฯ (มาตรา 17)

8. ผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายสามารถเป็นพนักงานสอบสวนได้ (มาตรา 18)

9. หากพนักงานสอบสวนเห็นว่าผู้ต้องหาคนใดกระทำผิดโดยหลงผิด รู้เท่าไม่ถึงการณ์ สามารถเปิดโอกาสให้ผู้ต้องการกลับตัวได้ โดยผู้อำนวยการจะสั่งให้เข้ารับการอบรม ณ สถานที่ที่กำหนด เป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน (มาตรา 19)

10. ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพ.ร.บ.นี้ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีการปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (มาตรา 22)

11. เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.นี้ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย ถ้าได้ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาซึ่งเชื่อได้ว่าชอบด้วยกฎหมายและควรแก่เหตุ (มาตรา 23)

ร่างฯ ที่ สคก. ตรวจพิจารณาแล้ว

เรื่องเสร็จที่ ๖๙๖ / ๒๕๕๐

บันทึกหลักการและเหตุผล

ประกอบร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร

พ.ศ. ....

_______________

หลักการ

ให้มีกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร

เหตุผล

โดยที่ปัจจุบันมีปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีหลากหลาย มีความรุนแรง รวดเร็ว สามารถขยายตัวจนส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และมีความสลับซับซ้อน จนอาจกระทบต่อเอกราชและบูรณภาพแห่งอนาคต ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศ และเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน ดังนั้นเพื่อให้สามารถป้องกัน และระงับภัยที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที จึงสมควรกำหนดให้มีหน่วยปฏิบัติงานหลักเพื่อรับผิดชอบดำเนินการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ตลอดจนบูรณาการและประสานการปฏิบัติร่วมกับทุกส่วนราชการ ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและรักษาความมั่นคง รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่นของตน เพื่อป้องกันภยันตรายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในยามปกติ และในยามที่เกิดสถานการณ์อันเป็นภัยต่อความมั่นคงในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งและกำหนดให้มีมาตรการและกลไกควบคุมการใช้อำนาจเป็นการเฉพาะตามระดับความรุนแรงของสถานการณ์ เพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นเอกภาพจึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

ร่าง

พระราชบัญญัติ

การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร

พ.ศ. ....

_______________

…………………………………..

…………………………………..

…………………………………..

………………………………………………………………………………………………………………….………….

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร

พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๖ มาตรา ๓๘ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๖๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกำหมาย

………………………………………………………………………………………………………………….………….

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ. ....”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร” หมายความว่า การดำเนินการเพื่อควบคุม แก้ไข และฟื้นฟูสถานการณ์ใด ที่เป็นภัยหรืออาจเป็นภัยให้กลับสู่สภาวะปกติเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐ และให้หมายความรวมถึงการป้องกันมิให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้นด้วย

“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร

“ผู้อำนวยการ” หมายความว่า ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร

- ๒ -

“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐ แต่ไม่รวมถึงศาลและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

“เจ้าหน้าที่ของรัฐ” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ

“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งผู้อำนวยการแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

“จังหวัด” หมายความรวมถึงกรุงเทพมหานคร

“ผู้ว่าราชการจังหวัด” หมายความรวมถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

มาตรา ๔ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

หมวด ๑

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร

--------------------------

มาตรา ๕ ให้จัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร เรียกโดยย่อว่า “กอ.รมน.” ขึ้นในสำนักนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร

ให้ กอ.รมน. มีฐานะเป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี โดยมีวิธีการปฏิบัติราชการและการบริหารงาน การจัดโครงสร้างการแบ่งส่วนงานและอำนาจหน้าที่ของส่วนงานภายใน กอ.รมน.ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลเป็นผู้อำนวยนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างใน กอ.รมน. และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของ กอ.รมน. โดยมีผู้บัญชาการทหารบกเป็นรองผู้อำนวยการ

ในการปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้อำนวยการจะมอบอำนาจเป็นหนังสือให้รองผู้อำนวยการเป็นผู้ปฏิบัติหรือใช้อำนาจแทนก็ได้

ผู้อำนวยการอาจแต่งตั้งผู้ช่วยผู้อำนวยการจากข้าราชการในสังกัด กอ.รมน. หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นได้ตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงโครงสร้างและการแบ่งส่วนงานภายในของ กอ.รมน.

ให้มีเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรซึ่งผู้อำนวยการแต่งตั้งจากเสนาธิการทหารบกเพื่อรับผิดชอบงานอำนวยการและธุรการของ กอ.รมน.

รองผู้อำนวยการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร มีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างใน กอ.รมน.รองจากผู้อำนวยการและมีอำนาจหน้าที่อื่นตามที่ผู้อำนวยการกำหนด

ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจทำนิติกรรม ฟ้องคดี ถูกฟ้องคดี และดำเนินารทั้งปวงเกี่ยวกับคดีอันเกี่ยวเนื่องกับอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. ทั้งนี้ โดยกระทำในนามของสำนักนายกรัฐมนตรี

- ๓ -

มาตรา ๖ ให้ กอ.รมน. มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(๑) ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินแนวโน้มของสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดภัยคุกคามด้านความมั่นคงในราชอาณาจักรและรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

(๒) อำนวยการในการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ในเรื่องที่คณะรัฐมนตรี หรือสภาความมั่นคงแห่งชาติมอบหมาย ในการนี้ให้มีอำนาจหน้าที่เสนอแผนและแนวทางในการปฏิบัติงานและ

ดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามแผนและแนวทางนั้น

(๓) อำนวยการ ประสานงาน และเสริมการปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามแผนและแนวทางในการปฏิบัติงานตาม (๒) ในการนี้คณะรัฐมนตรีจะมอบหมายให้ กอ.รมน.มีอำนาจในการกำกับการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดด้วยก็ได้

(๔) เสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักในหน้าที่ที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร และความสงบเรียบร้อยของสังคม

(๕) ดำเนินการอื่นตามที่กำหมายบัญญัติหรือตามที่คณะรัฐมนตรี สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย

ในการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ถ้ามีความจำเป็นที่ กอ.รมน. ต้องใช้อำนาจหรือหน้าที่ตามกฎหมายใดที่อยู่ในอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐใด ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งใด ๆ ใน กอ.รมน. เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนั้น หรือมีมติให้หน่วยงานของรัฐนั้นมอบอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบตามกฎหมายในเรื่องดังกล่าว ให้ กอ.รมน. ดำเนินการแทนหรือมีอำนาจดำเนินการด้วยภายในพื้นที่และภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการใช้อำนาจนั้นไว้ด้วยก็ได้

มาตรา ๗ นอกจากการมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินแล้ว บรรดาอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการตามพระราชบัญญัตินี้ผู้อำนวยการจะมอบอำนาจให้ ผอ.รมน.ภาค ผอ.รมน.จังหวัด หรือผู้อำนวยการศูนย์ตามมาตรา ๑๖ ปฏิบัติแทนก็ได้

มาตรา ๘ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้หน่วยงานของรัฐจัดส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐไปปฏิบัติหน้าที่ใน กอ.รมน. ตามที่ผู้อำนวยการร้องขอ และให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลหรือองค์กรอื่นที่มีอำนาจหน้าที่ทำนองเดียวกันของหน่วยงานของรัฐนั้น จัดให้หน่วยงานของรัฐที่จัดส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐไปปฏิบัติหน้าที่ยัง กอ.รมน. มีอัตรากำลังแทนตามความจำเป็นแต่ไม่เกินจำนวนอัตรากำลังที่จัดส่งไป

- ๔ -

มาตรา ๙ ให้มีคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรคณะหนึ่ง ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นรองประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสานสนเทศและการสื่อสารปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการอำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อธิบดีกรมบัญชีกลาง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการ

ทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอัยการสูงสุด เป็นกรรมการและให้เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรเป็นกรรมการและเลขานุการและให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งข้าราชการใน กอ.รมน. เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ไม่เกินสองคน

ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่กำกับ ให้คำปรึกาและเสนอแนะต่อ กอ.รมน.ในการปฏิบัติงานในอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. รวมตลอดทั้งอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(๑) วางระเบียบเกี่ยวกับการอำนวยการและประสานงานกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร

(๒) วางระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ กอ.รมน. กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด

(๓) ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการงบประมาณ การเงินการคลัง การพัสดุและการจัดการทรัพย์สินของ กอ.รมน.

(๔) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย

(๕) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น

มาตรา ๑๐ เมื่อมีกรณีจำเป็นในอันที่จะรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรในพื้นที่ของกองทัพภาคใด คณะกรรมการโดยข้อเสนอแนะของผู้อำนวยการจะมีมติให้กองทัพภาคนั้นจัดให้มีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค เรียกโดยย่อว่า “กอ.รมน.ภาค” ก็ได้

ให้ กอ.รมน.ภาค เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อ กอ.รมน. โดยมีแม่ทัพภาคเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค เรียกโดยย่อว่า “ผอ.รมน.ภาค” มีหน้าที่รับผิดชอบและสนับสนุนการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคตามที่ผู้อำนวยการมอบหมาย

เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการและลูกจ้างของกองทัพภาค รวมตลาดทั้งข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในเขตพื้นที่ให้มาปฏิบัติงานประจำหรือเป็นครั้งคราวใน กอ.รมน.ภาคได้ ตามที่ ผอ.รมน.ภาค เสนอ และให้นำความในมาตรา ๘ มาใช้บังคับกับการสั่งการของผู้อำนวยการในกรณีนี้ด้วยโดยอนุโลม

ผอ.รมน.ภาค เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างที่ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติงานใน กอ.รมน.ภาค และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของ กอ.รมน.ภาค

- ๕ -

การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนและอำนาจหน้าที่ อัตรากำลัง และการบริหารงานของส่วนงานภายใน กอ.รมน.ภาค ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการกำหนดตามข้อเสนอแนะของ ผอ.รมน.ภาค

ให้ กอ.รมน. และกองทัพภาคให้การสนับสนุนด้านบุคลากร งบประมาณ และทรัพย์สิน ในการปฏิบัติงานของ กอ.รมน.ภาค ตามที่ ผอ.รมน.ภาค ร้องขอ

มาตรา ๑๑ เพื่อประโยชน์ในการสร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะมีมา ให้ ผอ.รมน.ภาค ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษา กอ.รมน.ภาค ขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วยประธานกรรมการและกรรมการมีจำนวนไม่น้อยกว่ายี่สิบห้าคนแต่ไม่เกินห้าสิบคนโดยแต่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนในพื้นที่ทุกภาคส่วน มีหน้าที่ในการเสนอแนะการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะมีมา และให้คำปรึกาในเรื่องใดตามที่ ผอ.รมน.ร้องขอ

มาตรา ๑๒ เพื่อประโยชน์ในการสนับสนุน ช่วยเหลือ และปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค ตามมาตรา ๑๐ ผอ.รมน.ภาค โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้อำนวยการจะตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด เรียกโดยย่อว่า “กอ.รมน.จังหวัด” ขึ้นในจังหวัดที่อยู่ในเขตของกองทัพภาคเป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อ กอ.รมน.ภาค มีหน้าที่รับผิดชอบและ

สนับสนุนการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรภายในเขตพื้นที่รับผิดชอบของจังหวัดนั้นตามที่ผู้อำนวยการมอบหมาย และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด เรียกโดยย่อว่า “ผอ.รมน.จังหวัด” เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงานและลูกจ้าง และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของ กอ.รมน.จังหวัด

การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนและอำนาจหน้าที่ อัตรากำลัง และการบริหารงานของส่วนงานภายใน กอ.รมน.จังหวัด ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการกำหนด

ให้ กอ.รมน. และจังหวัดให้การสนับสนุนด้านบุคลากร งบประมาณ และทรัพย์สิน ในการปฏิบัติงานของ กอ.รมน.จังหวัด ตามที่ ผอ.รมน.จังหวัด ร้องขอ และให้นำความในมาตรา ๘ มาใช้บังคับกับ กอ.รมน.จังหวัด ด้วยโดยอนุโลม

มาตรา ๑๓ เพื่อประโยชน์ในการสร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะมีมา ให้ ผอ.รมน.จังหวัด ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษา กอ.รมน.จังหวัด ขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยประธานกรรมการและกรรมการมีจำนวนไม่น้อยกว่าสิบห้าคนแต่ไม่เกินสามสิบคนโดยแต่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนในพื้นที่ทุกภาคส่วน มีหน้าที่ในการเสนอแนะการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะมีมา และให้คำปรึกษาในเรื่องใดตามที่ ผอ.รมน.จังหวัด ร้องขอ

- ๖ -

หมวด ๒

ภารกิจการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรเฉพาะเรื่องของ กอ.รมน.

_____________________

มาตรา ๑๔ ในกรณีที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มที่จะมีอยู่ต่อไปเป็นเวลานานทั้งอยู่ในอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานของรัฐหลายแห่งคณะรัฐมนตรีจะมีมติให้ กอ.รมน. เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรนั้นภายในพื้นที่ที่กำหนดได้ทั้งนี้ ให้ประกาศให้ทราบโดยทั่วไป

ในกรณีที่เหตุการณ์ตามวรรคหนึ่งสิ้นสุดลงหรือสามารถดำเนินการแก้ไขได้ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้ตามปกติ ให้นายกรัฐมนตรีประกาศให้อำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. ที่ได้รับมอบหมายตามวรรคหนึ่งสิ้นสุดลง

มาตรา ๑๕ ในการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายตามมาตรา ๑๔ ให้ กอ.รมน. มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย

(๑) ป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรตามที่ได้รับมอบหมายตามมาตรา ๑๔

(๒) จัดทำแผนการดำเนินการตาม (๑) เสนอต่อคณะกรรมการเพื่อให้ความเห็นชอบ

(๓) กำกับ ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการ หรือบูรณาการในการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนตาม (๒)

(๔) สั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีพฤติกรรมว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือเป็นอุปสรรคต่อการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรออกจากพื้นที่ที่กำหนด

ในการจัดทำแผนตาม (๒) ให้ กอ.รมน. ประชุมหารือกับสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องด้วย

ในกรณีที่มีคำสั่งตาม (๔) แล้วให้ กอ.รมน. แจ้งให้หน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดทราบพร้อมด้วยเหตุผล และให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งได้รับคำสั่งให้ออกจากพื้นที่นั้น ไปรายงานตัวยังหน่วยงานของรัฐที่ตนสังกัดโดยเร็ว ในการนี้ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าสังกัดดำเนินการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ หรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ตามที่กำหนดไว้ในคำสั่งดังกล่าว

- ๗ -

มาตรา ๑๖ ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรในเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ให้ผู้อำนวยการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมีอำนาจจัดตั้งศูนย์อำนวยการเพื่อปฏิบัติภารกิจอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างเป็นการเฉพาะก็ได้

โครงสร้าง อัตรากำลัง การบริหารจัดการ อำนาจหน้าที่ การกำกับติดตามหรือบังคับบัญชาศูนย์อำนวยการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้นำความในมาตรา ๘ มาใช้บังคับกับศูนย์อำนวยการตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม โดยให้อำนาจผู้อำนวยการเป็นอำนาจของผู้อำนวยการศูนย์

มาตรา ๑๗ เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไข หรือบรรเทาเหตุการณ์ภายในพื้นที่ตามมาตรา ๑๔ ให้ผู้อำนวยการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้

(๑) ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด

(๒) ห้ามเข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับการยกเว้น

(๓) ห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด

(๔) ให้ยุติการชุมนุมหรือมั่วสุมกันในที่สาธารณะ เมื่อปรากฏว่าการชุมนุมหรือมั่วสุมนั้นก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนในการใช้ที่สาธารณะและอาจก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นได้

(๕) ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน

(๖) ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ

(๗) ให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน

มาตรา ๑๘ ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๑๕ (๑) ให้ผู้อำนวยการและพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ผู้อำนวยการมอบหมาย เป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่ใช้อำนาจในฐานะดังกล่าวให้เป็นไปตามข้อตกลงร่วมกันระหว่าง กอ.รมน. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

มาตรา ๑๙ ภายในเขตพื้นที่ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ กอ.รมน.ดำเนินการตามมาตรา ๑๔ ถ้าพนักงานสอบสวนเห็นว่าผู้ต้องหาคนใดได้กระทำความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเพราะหลงผิด หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหานั้นกลับตัว

- ๘ -

จะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนสำหรับผู้ต้องหาคนนั้น พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้อำนวยการ

ถ้าผู้อำนวยการเห็นชอบด้วยกับความเห็นของพนักงานสอบสวน ผู้อำนวยการจะสั่งให้ผู้ต้องหาดังกล่าวเข้ารับการอบรม ณ สถานที่ที่กำหนด เป็นเวลาไม่เกินหกเดือน และปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นที่กำหนดแทนการดำเนินคดีก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

การดำเนินการตามวรรคสอง จะกระทำได้ต่อเมื่อผู้ต้องหายินยอมเข้ารับการอบรมและปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว และเมื่อผู้ต้องหาได้เข้ารับการอบรมและปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วนแล้ว ให้พนักงานสอบสวนส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาตามอำนาจหน้าที่ต่อไป และเมื่อพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาแล้ว ผู้ใดจะฟ้องผู้ต้องหาสำหรับการกระทำที่ต้องหานั้นอีกไม่ได้

มาตรา ๒๐ ในการใช้อำนาจของ กอ.รมน. ตามมาตรา ๑๕ (๑) ถ้าก่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้สุจริต ให้ กอ.รมน. จัดให้ผู้นั้นได้รับการชดเชยความเสียหายตามควรแก่กรณีตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

มาตรา ๒๑ พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายในพื้นที่ที่กำหนดตามมาตรา ๑๔ อาจได้รับค่าตอบแทนพิเศษตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

พนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่งผู้ใดเจ็บป่วย เสียชีวิต ทุพพลลาภ พิการ หรือสูญเสียอวัยวะ อันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นนอกเหนือจากที่มีกฎหมายกำหนด ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

มาตรา ๒๒ บรรดาข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชบัญญัตินี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

มาตรา ๒๓ ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย ถ้าได้กระทำตามคำสั่งขอผู้บังคับบัญชา โดยมีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับผู้ที่ช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมพระราชบัญญัตินี้ด้วยโดยอนุโลม

- ๙ -

หมวด ๓

บทกำหนดโทษ

__________________

มาตรา ๒๔ ผู้ใดฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา ๑๗ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) หรือ (๗) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

บทเฉพาะกาล

___________________

มาตรา ๒๕ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และอัตรากำลังของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๕ / ๒๕๔๙ เรื่อง การจัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ มาเป็นของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๒๖ ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร ที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๒๐๗ / ๒๕๔๙ เรื่อง การบริหารราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นศูนย์อำนวยการที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัตินี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

.............................................

นายกรัฐมนตรี

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 22/10/2550


http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=8624&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai

ชำแหละร่าง พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน ‘อำนาจ ผบ.ทบ. เหนืออธิปไตยไทยทั่วประเทศชั่วชีวิต’

ประชาไท – 26 มิ.ย. 50 เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. คณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและการสูญหายของบุคคล โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จัดสัมมนาเรื่อง ‘ชำแหละร่าง พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ....’ ณ ห้องประชุม 101 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ



นายไพโรจน์ พลเพชร เลขาธิการสมาคมสิทธิและเสรีภาพเพื่อประชาชน กล่าวว่า รัฐบาลก่อนเคยออกกฎหมาย 2 ฉบับที่เกี่ยวกับความมั่นคง กฎหมายแรกเป็นกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย มีที่มาจากการอ้างภัยสมัยใหม่ที่รัฐต้องเผชิญ ต่อมาก็ได้ออกกฎหมายอีกฉบับ คือ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) โดยเป็นสถานการณ์ที่ประเมินว่าสังคมไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉินบางอย่าง ซึ่งทั้ง 2 กฎหมายเร่งออกโดยฝ่ายบริหารเป็น พ.ร.ก. ทั้ง 2 ฉบับ

ส่วนร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.... (พ.ร.บ.ความมั่นคงภายใน) นี้หากมองอย่างตรงไปตรงมาที่สุดคือ การขยายบทบาทให้กองทัพมีบทบาททางการเมืองในบ้านเมืองในหลายๆ เรื่อง เหตุผลพูดไว้ชัด อย่างใน มาตรา 9 ให้ตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และ มาตรา 10 ที่ให้มีหน้าที่ทั้งในภาวะบ้านเมืองปกติและไม่ปกติ ซึ่งต่างจากในอดีตที่จะต้องมาในรูปของกฎอัยการศึก หรือต้องประกาศพื้นที่ชัดเจนในภาวะไม่ปกติก่อน เจตนาของกฎหมายจึงชัดเจนเหมือนกับในอดีตที่เคยให้ กอ.รมน. มีบทบาทสูงในการสู้ภัยคอมมิวนิสต์

ประการต่อมา ขอบเขตคำว่า ภัยความมั่นคง และนิยามของคำว่า ภัยคุกคาม ตาม พ.ร.บ. ความมั่นคงภายในกว้างขวางมาก และเดิมทีก็มีกฎหมายรับรองในเรื่องความมั่นคงหมดแล้ว ซึ่งรวมไปถึงการก่อการร้ายด้วย เพียงแต่ใช้ตามปกติไม่ได้ พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงเหมือนการเปิดโอกาสให้ทหารเข้ามาจัดการและเข้าไปอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศ ผ่านการตั้ง กอ.รมน. ทั้งระดับภูมิภาคและระดับจังหวัด การที่ระบุลงไปว่าความมั่นคงทั้งในระดับปกติและไม่ปกติเดิมจะให้อำนาจนายกรัฐมนตรี แต่กฏหมายฉบับนี้ให้อำนาจ ผอ.รมน. สามารถสั่งการได้ มีอำนาจแต่งตั้งบุคคลได้ทันทีเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดเป็นอำนาจรัฐซ้อนรัฐ จนดูเหมือนจะมี 2 รัฐบาลในเวลาเดียวกัน

ประเด็นถัดมาคือ เรื่องอำนาจ ในมาตรา 24 ตาม ร่าง พ.ร.บ. นี้ได้ให้อำนาจผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผอ.รมน.) ซึ่งก็คือผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) โดยตำแหน่ง แบบสุดๆ เช่น หากเห็นว่ามีความไม่ปลอดภัยต่อความมั่นคงให้ทำหน้าที่ได้ทันที สามารถบังคับบัญชาหน่วยงานรัฐทุกหน่วยได้ แต่งตั้งบุคคลได้



นอกจากนี้ พ.ร.บ. ความมั่นคงภายในยังให้อำนาจ ผบ.ทบ. ลิดรอนสิทธิประชาชนได้หลายเรื่อง เช่น ห้ามเดินทาง ห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ห้ามชุมนุมการเมือง ห้ามแสดงมหรสพ ห้ามโฆษณา ห้ามออกจากเคหะสถาน ให้เจ้าของกิจการรายงานประวัติลูกจ้างทั้งหมด หรือครอบครองสินค้าได้ กฎเหล่านี้สามารถออกได้ทันทีโดยคำวินิจฉัย ผบ.ทบ. ในส่วนของการใช้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมหรือเรียกมาควบคุมตัวได้ทันที การให้ค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น ยกเว้นการเข้าไปในเคหะสถาน

ในส่วนของอำนาจควบคุมตัวนั้น ถ้าสงสัยสามารถเรียกมาคุมตัวก่อนได้ภายใน 30 วัน โดยเรียกว่า ผู้ต้องสงสัย ซึ่งยังไม่ใช่ผู้ต้องหา โดยที่การเป็นผู้ต้องสงสัยไม่สามารถมีสิทธิอะไร ทั้งห้ามเยี่ยม ห้ามมีทนาย สรุปแล้วผู้ต้องสงสัยกลับมีสิทธิน้อยกว่าผู้ต้องหาเสียอีก

(พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ มทภ.๔/ผอ.รมน.ภาค ๔)

นายไพโรจน์ ยังได้ยกตัวอย่างมาตราอื่นๆ ตาม พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน ที่น่าเป็นห่วงอีก เช่น มาตรา 30 ผอ.รมน. สามารถเข้าแทรกแซงการสอบสวนได้ โดยสามารถเรียกข้อมูลการสอบสวนทางอาญาหรือเข้าฟังการสอบสวนก็ได้ หรือในมาตรา 31 ผอ.รมน. สามารถสั่งปล่อยได้ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายวินิจฉัยแทนศาลอันเป็นอำนาจตุลาการ นอกจากนี้ มาตรา 34 สามารถสั่งย้ายราชการโดยอ้างความมั่นคงได้

ประเด็นสำคัญอีกประการที่นายไพโรจน์เป็นห่วงมาก คือ การที่ร่าง พ.ร.บ. นี้ เขียนไว้ว่าห้ามตรวจสอบโดยศาลปกครอง จึงไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าคำสั่งที่ออกมานั้นชอบหรือไม่ ขัดแย้งกับสิทธิเสรีภาพหรือไม่ นอกจากนี้การเขียนไว้ว่าห้ามตรวจสอบโดยศาลปกคองแล้ว ที่สำคัญกว่าคือเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจตาม ร่าง พ.ร.บ. นี้ ไม่ต้องรับความผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย จึงเท่ากับให้อำนาจเจ้าหน้าที่สูงล้น และใช้คนเดียว แต่ไม่มีใครตรวจสอบได้ และสามารถมาแทนกลไกปกติได้ทั้งหมด จึงเป็นการท้าทายต่อหลักนิติธรรมในประเทศค่อนข้างสูง

นายไพโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า ร่าง พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน ขัดต่อหลักการ 3 เรื่อง เรื่องแรกคือการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารบ้านเมือง ถ้าถูกควบคุมเหมือนทุกวันนี้จะยิ่งลำบาก ต่อมาคือขัดต่อหลักการกระจายอำนาจ แม้จะบอกว่ารวบอำนาจจำกัดเฉพาะเรื่องความมั่นคงแต่ขยายความค่อนข้างสูง เป็นการย้อนยุคให้อำนาจ ผบ.ทบ. สูงมากและตรวจสอบไม่ได้ ดังนั้นรัฐสภาจึงไม่ควรออกกฎหมายในยุคนี้เพราะผ่านการตรวจสอบได้ยาก ถ้าจะออกควรไปออกในสมัยหน้าที่เปิดให้มีการถกเถียงมากกว่านี้

อีกเรื่องหนึ่งคือต้องประเมินด้วยว่าเราใช้กฏหมายเดิมที่มีอยู่ไม่ได้ผลหรือ ทำไมต้องรวบอำนาจให้กองทัพบกและ กอ.รมน. ทั้งที่ กอ.รมน. น่าจะหมดไปตั้งแต่สมัยคอมมิวนิสต์แล้ว การทำเช่นนี้เหมือนกับการให้ที่ยืนกับคนกลุ่มหนึ่ง กำลังจะสร้างอำนาจซ้อนรัฐ ถ้ารัฐบาลสมัยหน้าอ่อนแอ ส่วนนี้จะมีอำนาจเหนือรัฐ

(นฤมล ทับจุมพล และเกษียร เตชะพีระ)

ดร.นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ได้อ่าน พ.ร.บ. ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในเปรียบเทียบกับประเทศ 4 ประเทศ คือ อเมริกา มาเลเซีย สิงคโปร์ และอิสราเอล

พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในเกิดมาจากทัศนคติของการกลัวภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ ซึ่งผ่านมา 4 ทศวรรษแล้ว คือเมื่อปี 1950 ในอเมริกา ปี 1960 ในมาเลเซีย ปี 1963 ในสิงคโปร์ และปี 1979 ในอิสราเอล ส่วนในปัจจุบันคือเรื่องของการต้านการก่อการร้าย และหากดูในเนื้อหาแล้ว พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในของไทยเหมือนจะนำรูปแบบเดียวกับอิสราเอลมาใช้ แต่อิสราเอลมีกรณีฉนวนกาซ่าและเขตเวสแบงค์ แล้วไทยเรามีสถานการณ์เหมือนอิสราเอลหรือไม่

ส่วน พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในของมาเลเซีย สามารถให้ควบคุมตัวได้ 60 วัน แต่ผู้ใช้อำนาจคือมหาดไทย อย่างไรก็ตาม มีคนกว่า 1,000 คน ถูกจับด้วยอำนาจตาม พ.ร.บ. นี้ แต่สำหรับไทยเหมือนจะยกอำนาจให้กองทัพบกไปเลย

ส่วนสิงคโปร์ มี พ.ร.บ.ว่าด้วยความมั่นคงภายใน เนื่องจากการจับกุมคอมมิวนิสต์และล่าสุดคือความกลัวภัยการก่อการร้าย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับอาเจะห์และเจไอ

อย่างไรก็ตาม ในกรณีของไทยกลับไม่ได้มาจากความกลัวภัยก่อการร้าย แต่น่าจะมาจากความพยายามในทางการเมืองไทยเอง ซึ่งมีความพยายามจะออกกฎหมายแบบนี้มาหลายครั้งหลังยกเลิก พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์ แล้วต้องการให้มีกฎหมายอื่นมาแทน โดยก่อนหน้านี้ผ่านการถกมาแล้วว่าไม่สามารถออกกฎหมายแบบนี้ได้เพราะขัดต่อสิทธิเสรีภาพ แต่สุดท้ายก็มาพยายามผลักดันกันในรัฐบาลชุดนี้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และไม่ใช่ พ.ร.บ. มาทำหน้าที่ดูแลประเทศ แต่เป็นความพยายามที่จะรักษาโครงสร้างกอ.รมน. ที่เคยใช้ปราบปรามคอมมิวนิสต์ และหาพื้นที่ให้ หลายคนจึงพูดว่าเป็นการฟื้นแนวคิดอมาตยาธิปไตย

ดร.นฤมล ยังกล่าวอีกว่า ร่าง พ.ร.บ. นี้มีหลายเรื่องกินเนื้อที่มากมาย การห้ามออกจากเคหะสถาน การห้ามมีมหรสพ ดูแล้วจะทำให้หลักการเรื่องเสรีภาพในการพูด การแสดงความคิดเห็น การเดินทางถูกจำกัดไปโดยปริยาย นอกจากนี้ การนิยามเรื่องความมั่นคงของไทยนั้น ถ้าไม่เห็นด้วยกับรัฐก็ถือเป็นภัยความมั่นคงแล้ว ร่างพ.ร.บ.นี้จึงไม่ถูกทั้งในแง่สิทธิเสรีภาพ ทั้งไม่มีความชอบธรรมในเรื่องที่มาของรัฐบาล



ด้าน ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคง คงก็อปปี้มาจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หลายอย่าง แต่จุดที่ไม่เหมือนคือการใช้ต้องประกาศสถานการณ์ก่อน ซึ่งเป็นหลักการเช่นเดียวกับการใช้กฎอัยการศึก แต่สำหรับ พ.ร.บ. นี้ใช้อำนาจได้โดยไม่ต้องประกาศอะไรทั้งสิ้น ผอ.รมน. จะมีอำนาจทั่วทั้งประเทศ

สำหรับประเด็นที่ ดร.ปริญญา แสดงความเป็นห่วงค่อนข้างมากได้แก่ มาตราที่ 36 ที่ระบุว่า ฟ้องศาลปกครองไม่ได้ และมาตรา 37 คือไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา

“นี่คือการเอาฝ่ายตุลาการออกไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหาก พ.ร.บ. ฉบับนี้สามารถประกาศใช้ได้จริง จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะร่าง พ.ร.บ. นี้ขัดกับมาตรา 3 เรื่องของหลักประกันสิทธิและเสรีภาพ ในรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะออกมาให้ประชาชนทำประชาพิจารณ์ในเรื่องของหลักประกันสิทธิและเสรีภาพ สมัย รสช. ยังไม่กระทำกันขนาดนี้ มันไม่สมควรที่รัฐจะออกกฏหมายเช่นนี้ เพราะมันไม่สอดคล้องกับวิถีทางประชาธิปไตย ตอนยึดอำนาจก็บอกว่าเป้าหมายคือการปฏิรูปการเมืองไทย แต่นี่ไม่ใช่หลักการของประชาธิปไตยในหลักการของการปฏิรูป เพราะฉะนั้น สนช.ต้องไม่รับร่างฉบับนี้ไปพิจารณา เพราะถ้าพูดแรงๆ นี่คือการสืบทอดอำนาจ เพราะกำลังจะมีการเลือกตั้ง แต่ฝ่าย คมช.ยังต้องการสืบทอดอำนาจต่อไป” ดร.ปริญญา ระบุ

นอกจากนี้ ยังกล่าวด้วยว่า ตามหลักการปกครองต้องแบ่งแยกอำนาจออกเป็นนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เพื่อคุ้มครองสิทธิ แต่นี่เป็นการเอาฝ่ายตุลาการออกไปโดยสิ้นเชิง และเป็นอำนาจที่เกิดทันทีที่ พ.ร.บ. นี้มีผลบังคับใช้ ทั้งนี้ การห้ามได้ก็คือการที่ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพ และหากการห้ามได้นั้นขึ้นกับ ผบ.ทบ. การต้องขอ ผบ.ทบ. มันก็คือเผด็จการแล้ว เนื่องจากการใช้สิทธิประชาธิไตย ประชาชนไม่ต้องขอใคร

ดร.ปริญญา กล่าวต่อว่า “เมื่อมีอำนาจตรงไหน สิทธิเสรีภาพของประชาชนก็จะหายไปตรงนั้น อำนาจกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนสวนทางเสมอ จริงอยู่ว่าการอยู่ร่วมกันในสังคมมันจำเป็นต้องจำกัดสิทธิเสรีภาพบ้าง เช่น เจอไฟแดงก็ต้องหยุด แต่การจำกัดสิทธิเสรีภาพก็ต้องเป็นไปเพียงเท่าที่จำเป็นและประชาชนยินยอมโดยผ่านกระบวนการตรากฎหมาย หรือผ่านผู้แทนที่ปะชาชนเลือกเข้าไป แต่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไม่ได้มาจากประชาชนเลย ดังนั้น สนช. จะไม่มีความชอบธรรมในการรับร่างฉบับนี้ไว้พิจารณา ถ้าจะจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนต้องยินยอม อำนาจทำให้เสื่อม ไม่อยากให้กองทัพเสื่อม”



ด้านนายสมชาย หอมลออ อดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่ร่าง พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน ผ่านมติคณะรัฐมนตรี คงเป็นการกดดันเต็มที่จากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ต้องจับตาต่อไปว่า สนช. จะเป็นจำเลยด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ คนที่ดำรงตำแหน่งประธานคมช. อาจจะยังไม่มีอำนาจเท่า ผบ.ทบ. ซึ่งคือผู้ที่จะเป็น ผอ.รมน. ในอนาคตเสียอีก



นายสมชาย กล่าวต่อว่า กฎหมายให้อำนาจ ผบ.ทบ. มาก แต่มีเสียงโต้จากฝ่ายมั่นคงว่า อำนาจ ผอ.รมน. ไม่มากหรอก นายกรัฐมนตรีจะปลดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่มันหมายถึงว่าต้องเท่ากับปลด ผบ.ทบ. ด้วย ในขณะที่คณะกรรมการ กอ.รมน. ถึง 2 ใน 3 เป็นข้าราชการประจำ เช่น ปลัดกระทรวงต่างๆ หรือเสนาธิการก็อยู่ในส่วนเลขาธิการ จึงเห็นชัดว่าเป็นการเสริมอำนาจอย่างเข้มแข็งให้ข้าราชการทหาร รวมทั้งให้สามารถสั่งการข้าราชการพลเรือนได้ จนเหมือนกับให้กองทัพเป็นพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง แต่เป็นพรรคนอกระบบเป็นรัฐซ้อนรัฐ เป็นอำนาจซ้อนอำนาจ และจะสร้างอาณาจักรแห่งความกลัวเป็นอันมากในภายหลัง



ทั้งนี้ คมช. พยายามจะใช้ผีระบอบทักษิณเพื่อให้ประชาชนวางเฉยต่อการสืบทอดอำนาจเผด็จการ คมช. อยากเรียกร้องให้ประชาชนจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เรากำลังกำลังเจอเผด็จการตัวใหม่ เหมือนหนีเสือปะจระเข้โดยอ้างว่าเพื่อไม่ให้ฟื้นฟูระบอบทักษิณมาอีก

อีกหลักการคือ การที่ศาลที่ถูกตัดอำนาจไป ในขณะที่ปกติข้าราชการก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่กว้างขวางอยู่แล้ว และแทบไม่มีสักรายที่ถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญาและวินัย จนเกิดวัฒนธรรมที่ข้าราชการชั่วๆ มากมายลอยนวลเหนือประชาชน อย่างกรณีนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความที่หายตัวไป กรณีในภาคใต้ หรือการที่นักสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน 30 กว่าคนเสียชีวิตไปในรัฐบาลทักษิณก็ไม่ดำเนินคดีเอาผิดได้ ร่าง พ.ร.บ. นี้จะไปเสริมวัฒนธรมข้าราชการที่ทำผิดได้โดยไม่ต้องรับโทษ ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย ซึ่งจะซ้ำเติมสถานการณ์สิทธิมนุษยชน



นอกจากนี้ นายสมชาย ยังขอให้ สนช. ระงับขั้นตอนการดำเนินการและให้ถอนเรื่องออกจากคณะกรรมการกฤษฎีกา หากไม่ทำตาม ขอเรียกร้องประชาชนให้ร่วมกันคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ และถ้าไม่ได้รับการดำเนินถอนเรื่องออกมาคงต้องคัดค้านรัฐบาลและ คมช. ด้วย



นายพิภพ ธงไชย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า ถ้ากฎหมายนี้ผ่านจะมีรัฐซ้อนรัฐในประเทศ รัฐธรรมนูญก็หมดความหมาย ดังนั้น ถ้ากฎหมายนี้ผ่านก็ควรร่วมกับกลุ่มอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ (มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน) ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ส่วนทาง คมช. ก็ขอให้ออกรัฐธรรมนูญของตัวเองออกมา ขอให้พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ประธาน คมช. ทำให้สุดๆ ไปเลย อย่าออมชอม เพราะจะได้สู้กันสุดๆ เพราะในขณะที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำลังใช้ธงในการสู้ตามรัฐธรรมนูญ 2540 อยู่ก็เข้ามาแย่งธงของพันธมิตรฯ ไป

นายพิภพ ระบุว่า การออกกฎหมายความมั่นคงภายในเป็นการสืบทอดอำนาจที่เนียนกว่าการกระทำของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร และเลวร้ายยิ่งกว่า มาตรา 17 ของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตต์ ทหารมีคนดีและไม่ดี แต่เราไม่สามารถตรวจสอบงบลับทหาร หรือ กอ.รมน. เลย ทั้งที่ใช้งบประมาณมหาศาลมาก ได้คุยกับ พล.อ. คนหนึ่งซึ่งเป็นที่ปรึกษา กอ.รมน. เขาบอกว่า งบประมาณที่ให้ กอ.รมน. ปกติก็สูญเสียไป 40 -60 เปอร์เซ็นต์ เหมือนบอกชาวบ้านจะให้วัวไปเยียวยา 5,000 ตัว กับเงินอีก 5,000 บาท เขาก็จะให้แต่เงิน วัวจะไม่ได้เลย

นายพิภพ กล่าวต่อไปว่า คำว่า ความมั่นคง ต้องตีความใหม่ ความมั่นคงนั้นเกิดจากความไม่สมดุลของอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ และอำนาจประชาชน แต่กฎหมายนี้ประชาชนหายไปเลย ดังนั้น ถ้ากฎหมายนี้ผ่าน สนช. คิดว่าควรสู้กันในทางสัญลักษณ์อย่างจริงจัง ตั้งแต่ คณะกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทั้งคณะควรลาออกเพื่อเป็นการประท้วง ส่วน สนช. คนใดที่อ้างประชาธิปไตยก็ควรลาออกเช่นกัน เช่น นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง รศ.สุริชัย หวันแก้ว หรือ นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ เป็นต้น

สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องทำแบบเดียวกัน แม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยก็ต้องออกมาหรือลาออกประท้วงด้วย และถ้ารวมตัวไม่สำเร็จสุดท้ายต้องปฏิเสธรัฐธรมนูญ 2550 เพราะถ้ารับกฎหมายนี้แล้วรัฐธรรมนูญก็ไม่มีความหมาย มันไปละเมิดสิทธิประชาชนหมด อำนาจตุลาการ 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตยไม่สามารถตรวจสอบได้เลย เรื่องนี้เครียดกว่าเรื่องการรัฐประหารอีก เพราะเป็นการรัฐประหารยึดอำนาจระยะยาวมาก เป็นการต่ออำนาจโดยไม่สิ้นสุด อำนาจจะอยู่ที่ ผบ.ทบ. ศาลต่างๆ จะไร้ความหมาย การกระทำของ กอ.รมน. ถือว่ายกเว้นหมด

โดยสรุปไม่มีอะไรที่เลวร้ายในการยึดอำนาจครั้งนี้นอกจาก ร่าง พ.ร.บ. นี้ ทหารเองเคยได้รับการปรบมือจากการยึดอำนาจ แต่คราวนี้จะถูกสาปแช่งและต่อต้านด้วย ต้องสู้กันทุกระดับ ต้องต้านทานเชิงสัญลักษณ์ให้มากขึ้น อยากขอให้คณะรัฐมนตรีถอนร่างออกมาจากกฤษฎีกาแล้วไปยื่นต่อสภาสมัยหน้า เพื่อให้เกิดการถกเถียงกันที่ ดีที่สุดคือให้มาจากสภาของประชาชน

จับตา! บางมาตราใน พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ....

มาตรา 9 ให้จัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เรียกชื่อโดยย่อว่า “กอ.รมน.” เป็นหน่วยงานในสำนักนายกรัฐมนตรี ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน มีหน้าที่รับผิดชอบบังคับข้าราชการ การดำเนินงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และอนุมัติแผนแม่บทหรือแผนปฏิบัติการในการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร

มาตรา 10 ให้กองอำนวยการรักษาความั่นคงภายในมีบทบาทเป็นองค์กรกลางในการอำนวยการและประสานการปฏิบัติ ในการนำนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงภายในของรัฐ และวาระเร่งด่วนแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติ

การแบ่งงานภายในของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในให้จัดทำเป็นกฏกระทรวง

มาตรา 24 เมื่อปรากฏว่ามีการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในมีภารกิจในการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร และให้มีอำนาจบังคับบัญชาหน่วยงานของรัฐเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน แก้ไข ปราบปรามระงับยับยั้งการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร การฟื้นฟู และการช่วยเหลือประชาชน

ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลเป็นเจ้าพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร และอาจมีคำสั่งแต่งตั้งคณะบุคคล หรือบุคคลเป็นที่ปรึกษาในการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน หรือเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความั่นคงในราชอาณาจักร

ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในอาจมอบหมายให้ผู้อำนวยรักษาความมั่นคงภายในภาคหรือผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด หรือกรุงเทพมหานครเป็นผู้ใช้อำนาจตามวรรคสองแทน และให้ถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้อง

ให้หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ให้การช่วยเหลือสนับสนุน หรือกระทำการใดๆ เมี่อได้รับการร้องขอจากเจ้าพนักงาน

มาตรา 25 ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อให้การกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรยุติลงได้โดยเร็ว หรือป้องกันมิให้เกิดเหตุร้ายแรงมากขึ้น ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในมีอำนาจออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้

(1) ห้ามบุคคลใดนำอาวุธที่กำหนดในกฏกระทรวงออกนอกเคหสถาน

(2) ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ

(3) ห้ามมิให้การชุมนุม หรือมั่วสุมกัน ห้ามการแสดงมหรสพ ห้ามการโฆษณา เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าจะเป็นการชักชวนหรือยั่วยุให้มีการกรำความผิดกฏหมาย

(4) ห้ามให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน หรือบุคคลซึ่งได้รับการยกเว้น

(5) ให้บุคคลใดนำอาวุธที่กำหนดในกฏกระทรวงมามอบไว้เป็นชั่วคราวตามความจำเป็นโดยการส่งมอบ การรับมอบ และการดูแลรักษาอาวุธดังกล่าวให้กำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติงานที่เห็นสมควร

(6) ให้เจ้าของกิจการ หรือผู้จัดการ หรือผู้รับผิดชอบในกิจการ หรือการทุจริต ซึ่งมีพนักงานหรือลูกจ้าง หรือบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจการ หรือการจัดการธุรกิจ จัดเก็บ และเก็บประวัติและแจ้งการย้ายเข้าและการย้ายออก การเลิกจ้าง และแจ้งพฤติการณ์ของบุคคลดังกล่าวให้เจ้าพนักงานทราบ

(7) ออกคำสั่งให้การซื้อขายใช้ หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งอาวุธ สินค้า เวชภัณฑ์เครื่องอุปโภคบริโภค เคมีภัณฑ์ หรือวัสดุอุปกรณ์อย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งอาจใช้กระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรต้องรายงาน หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน หรือปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกำหนด

(8) ออกคำสั่งให้ใช้กำลังทหารเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หรือตำรวจระงับเหตุการณ์ร้ายแรงหรือควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบโดยด่วน ทั้งนี้ในการปฏิบัติหน้าที่ของทหารให้มีอำนาจเช่นเดียวกับอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัตินี้ โดยการใช้อำนาจหน้าที่ของทหารจะกระทำได้เพียงใดให้เป็นไปตามเงื่อนไข และเงื่อนเวลาที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกำหนด แต่ต้องไม่เกินกว่ากรณีที่มีการใช้กฏอัยการศึก

ข้อกำหนดตามวรรคหนึ่ง จะกำหนดเงื่อนเวลาในการปฏิบัติตามข้อกำหนด หรือเงื่อนไขในการปฏิบัติของเจ้าพนักงาน หรือมอบหมายให้เจ้าพนักงานกำหนดพื้นที่ และรายละเอียดอื่นเพิ่มเติม เพื่อมิให้มีการปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกินสมควรแก่เหตุก็ได้

เมื่อการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรยุติลง ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในประกาศยกเลิกข้อกำหนดตามมาตรานี้โดยเร็ว

มาตรา 26 เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้มีประสิทธิภาพ ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในออกประกาศให้เจ้าพนักงานมีอำนาจดังต่อไปนี้

(1) จับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่าเป็นผู้ร่วมกระทำการให้เกิดการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือเป็นผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุนการกระทำเช่นว่านั้น หรือปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นภัยความมั่นคงในราชอาณาจักร ทั้งนี้ เท่าที่มีเหตุจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้บุคคลนั้นกระทำการหรือร่วมมือกระทำการใดๆ อันจะทำให้เกิดการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการระงับการกระทำเช่นว่านั้น

(2) ดำเนินการปราบปรามบุคคล กลุ่มบุคคล หรือกลุ่มองค์กรที่ก่อให้เกิดการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร

(3) ออกหนังสือสอบถาม หรืออกคำสั่งเรียกบุคคลใดมารายงานตัวต่อเจ้าพนักงาน หรือมาให้ถ้อยคำ หรือส่งมอบเอกสาร หรือหลักฐานใด เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร

(4) ตรวจค้นบุคคล ยานพาหนะ เคหสถาน สิ่งปลูกสร้าง หรือสถานที่ใดๆ ตามความจำเป็นเมื่อมีเหตุสงสัยตามสมควรว่ามีทรัพย์สินซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาจากการกระทำความผิด หรือได้ใช้ หรือจะใช้ในการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร

(5) เข้าไปในเคหสถาน หรือสถานที่ใดๆ เพื่อตรวจค้น เมื่อมีเหตุสงสัยว่ามีบุคคลที่ต้องสงสัยว่าจะก่อให้เกิดการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรหลบซ่อนตัวอยู่ หรือมีทรัพย์สินซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาจากการกระทำความผิด หรือได้ใช้ หรือจะใช้ในการกระทำเช่นว่านั้น หรืออาจใช้เป็นพยานหลักฐานลงโทษผู้กระทำความผิดได้ เมื่อมีเหตุอันเชื่อได้ว่าหากไม่รีบดำเนินการบุคคลนั้นจะหลบหนี หรือทรัพย์สินจะถูกโยกย้าย ซุกซ่อน ทำลาย หรือทำให้เปลี่ยนสภาพไปจากเดิม

(6) ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน เอกสาร หรือพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร

มาตรา 27 ในการจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่ต้องสงสัยตามประกาศในมาตรา 26 (1) ให้เจ้าพนักงานร้องขอต่อศาลที่มีเขตอำนาจ หรือศาลอาญาเพื่อขออนุญาตดำเนินการ เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลแล้วให้เจ้าพนักงานจับกุม และควบคุมตัวได้ไม่เกินเจ็ดวัน และต้องควบคุมไว้ในสถานที่ที่กำหนดไว้ซึ่งไม่ใช่สถานีตำรวจ ที่คุมขังทัณฑสถาน หรือเรือนจำ โดยจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นในลักษณะเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องควบคุมตัวต่อเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในพระราชอาณาจักร ให้เจ้าพนักงานร้องขอต่อศาล เพื่อขยายระยะเวลาการควบคุมตัวต่อได้อีกคราวละเจ็ดวัน แต่รวมระยะเวลาควบคุมตัวทั้งหมดต้องไม่เกินกว่าสามสิบวัน เมื่อครบกำหนดแล้วหากจะควบคุมตัวต่อไปให้ดำเนินการตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งให้เจ้าพนักงานจัดทำรายงานเกี่ยวกับการจับกุม และ ควบคุมตัวบุคคลนั้นเสนอต่อศาลที่มีคำสั่งอนุญาตตามวรรคหนึ่ง และจัดทำสำเนารายการนั้นไว้ ณ ที่ทำการของเจ้าพนักงานเพื่อให้ญาติของบุคคลนั้นสามารถขอดูรายงานดังกล่าวได้โดยตลอดระยะเวลาที่ควบคุมตัวบุคคลนั้นไว้

การร้องขอต่ออนุญาตต่อศาลตามวรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการขอออกกฏหมายอาญาตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 30 เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมข่าวสาร หรือป้องกันการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด หรือผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกรุงเทพมหานคร มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าพนักงานร่วมฟังการสอบสวน หรือเรียกสำนวนการสอบสวนคดีอาญามาตรวจดูได้

การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง หากอยู่ในอำนาจการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในแต่งตั้งเจ้าพนักงานร่วมฟังการสอบสวน หรือเรียกสำนวนการสอบสวนคดีอาญามาตรวจดูได้

มาตรา 31 ในกรณีที่มีการกระทำอันเป็นภัยความมั่นคงในราชอาณาจักร ถ้าพนักงานสอบสวนเห็นว่าผู้ต้องหาคนใดได้กระทำความผิดดังกล่าวเพราะหลงผิด หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือมีเหตุที่ไม่สมควรดำเนินคดีกับผู้ต้องหาคนใด ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนสอบสวนสำหรับผู้ต้องหาคนนั้น พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน

ถ้าผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในเห็นชอบด้วยกับความเห็นของพนักงานสอบสวนว่าไม่สมควรดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ต้องหาปฏิบัติแทนการถูกฟ้องคดีโดยให้ผู้ต้องหาคนดังกล่าวเข้ารับการอบรม ณ สถานที่ที่กำหนดเป็นเวลาไม่เกินหกเดือน และจะกำหนดเงื่อนไขให้มารายงานตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นครั้งคราวตามที่กำหนดภายหลังการอบรมแล้วด้วยก็ได้ แต่จะกำหนดระยะเวลาที่ให้มารายงานตัวเกินหนึ่งปีไม่ได้

การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ต้องหาปฏิบัติแทนการฟ้องร้องคดีตามวรรคสอง จะกระทำได้ต่อเมื่อผู้ต้องหายินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขแล้ว และเมื่อผู้ต้องหาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วนแล้ว จะฟ้องเป็นผู้ต้องหาสำหรับการกระทำที่ต้องหานั้นอีกไม่ได้

มาตรา 36 ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่งหรือการกระทำตามพระราชบัญัญัตินี้ ไม่อยู่ในบังคับของกฏหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฏหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

มาตรา 37 เจ้าพนักงาน และผู้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่ในการระงับ หรือป้องกันการกระทำผิดกฏหมายหากเป็นการกระทำที่สุจริตไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุ หรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น แต่ไม่ตัดสทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฏหมายว่าด้วยความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

รวบรวมข้อมูลโดย สำนักข่าวชาวบ้าน

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 26/6/2550

ไม่มีความคิดเห็น: